ดูแบบคำตอบเดียว
เก่า 11-04-2011, 18:50   #374
Moonlight
Super Moderator
 
รูปส่วนตัว Moonlight
 
วันที่สมัคร: Oct 2006
Car Brand: My Brand
Engine Type: 2JZ-GE VVT-i A/T
ที่อยู่: กรุงเทพฯ
กระทู้: 1,768
Thanks: 633
Thanked 8,042 Times in 1,296 Posts
คะแนน: 19 Moonlight is on a distinguished road
ส่งข้อความผ่าน MSN ถึง Moonlight
อ้างถึง:
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ nat182 อ่านกระทู้
ผมรถตู้หลังคาเตี้ยวางเครื่อง2jge+lpg มีปัญหาแอร์เย็นไม่ช่ำครับ ไปที่ร้านซ่อมแอร์ ช่างบอกเปลี่ยนมอเตอร์พัดลมจาก4พันรอบ เป็น6พันรอบ เปลี่ยนวาวล์และเพิ่มวาวล์เป็น2ทางให้น้ำยาแอร์ให้สะ ดวก หมดไป5พันกว่าๆ ลมแรงขึ้นครับแต่ไม่เย็นและไม่ช่ำ กลับไปหาช่างๆก็บอกอากาศมันร้อนแอร์เลยไม่ค่อยเย็น ผมสังเกต เวลาจอดรถดับเครื่อง น้ำทิ้งที่ไหลออกจากท่อไหลน้อยมากแค่1หยดไม่เหมือนเม ื่อก่อนหยดจนเปียกพื้น ขอคำแนะนำหน่อยครับ เพื่อเป็นข้อมูลไปโต้แย้งกับช่าง ขอบคุณครับ
สาเหตุของแอร์ทำงานแล้ว ลมแอร์ในห้องโดยสารไม่เย็นฉ่ำ มีปัจจัยตัวแปร หลายปัจจัยครับ

ปัจจัยตัวแปรตัวแรกเลย ก็คือ การระบายความร้อนของคอยล์ร้อน ไม่ดีพอ ถ้าเป็นที่สาเหตุนี้ มีวิธีพิสูจน์ครับ โดยสตาร์รถเข้าเกียร์ว่างจอดอยู่กับที่ เปิดแอร์ เร่งความเย็นสูงสุด เร่งพัดลมสูงสุด แล้วท่อท่อน้ำสายยางจากก๊อก ฉีดพ่นไปที่คอยล์ร้อน ขณะเดียวกัน จะให้อีกคนเข้าไปอยู่ในรถ กดคันเร่งให้รอบเครื่องอยู่ที่ 2500 - 2700 รอบ/นาที ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ถ้ารู้สึกว่า ความเย็นฉ่ำ หรือว่า ใช้เทอร์โมมิเตอร์ วัดอุณหภูมิในห้องโดยสาร ได้ 23 องศาเซลเซียส นั่นก็แสดงว่า ปัญหาอยู่ที่พัดลมระบายความร้อนครับ ให้แก้ไข ค่าใช้จ่ายไม่แพงครับ

ปัจจัยตัวแปรตัวต่อไป ก็คือ แอร์ดรายเออร์ เสื่อมสภาพ เนื่องจากว่า ดูดซับความชื้นจนหมดสภาพไปแล้ว การที่แอร์จะทำความเย็นได้นั้น น้ำยาแอร์ จะต้องถูกดูดความชื้นออกไปจนหมด จึงจะสามารถทำความเย็นได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าแอร์ดรายเออร์หมดประสิทธิภาพในการดูดความชื้นไ ปแล้ว น้ำยาแอร์ก็ไม่สามารถทำความเย็นได้เต็มที่ จึงทำให้ ความเย็นไม่ฉ่ำครับ ถ้าเป็นที่สาเหตุนี้ จะต้องเปลี่ยนแอร์ดรายเออร์ครับ ราคาไม่กี่ร้อยบาทก็จริงครับ แต่ว่า ช่วงการเปลี่ยนนั้น จะต้องค่อยๆปล่อยน้ำยาแอร์ออกจนหมด แล้วค่อยเปลี่ยนได้ หลังจากนั้น ต้องแวคคั่มดูดอากาศภายในระบบออกให้หมด จึงจะเต็มน้ำยาเข้าไปใหม่ได้ ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจึงน่าจะเกิน 1 พันบาทครับผม

ปัจจัยตัวแปรตัวต่อไป ก็คือ น้ำยาแอร์ มากหรือน้อยเกินไปครับ คือว่า น้ำยาแอร์ที่จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพของมันได้นั้น จะต้องมีน้ำยาแอร์อยู่ในระบบ ประมาณ 80 - 90 % ครับ ถ้าน้อยเกินไป (ประมาณ ต่ำกว่า 50%) หรือว่า มากเกินไป (เกิน 90% ไปจนเกิน 100%) จะทำให้ ความเย็นในห้องโดยสารไม่ฉ่ำครับ วิธีที่จะรู้ว่า เป็นที่ปริมาณน้ำยาแอร์หรือไม่ ให้ดู ที่ตาแมวของแอร์ดรายเออร์ขณะที่ คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานครับ ถ้ามีฟองอากาศ 3 - 10 ฟอง เล็กๆวิ่งไปมา และเวลาปิดแอร์ปั๊ป ก็จะมีฟองอากาศมากมายวิ่งไปมาพักหนึ่งก่อนจะหายไป นั่นแสดงว่า น้ำยาแอร์เต็มสมบูรณ์ดีครับ แต่ถ้าขณะเปิดแอร์ คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงาน มองที่ตาแมว เห็นฟองอากาศเล็กๆมากมาย (นับไม่ถ้วน) วิ่งไปมา นั่นแสดงว่า น้ำยาแอร์น้อยเกินไป ส่วนถ้ามองไม่เห็นฟองอากาศเลย นั่นแสดงว่า น้ำยาแอร์มากเกินไป หรือว่า ไม่มีน้ำยาแอร์เลยครับ ทั้ง 2 เคสนี้ ให้รีบแก้ไขครับ

ปัจจัยตัวแปรตัวต่อไปก็คือ คอมเพรสเซอร์แอร์ หมดประสิทธิภาพ หรือสรุปว่า ลูกสูบหลวม หรือไม่มีกำลังอัดน้ำยา กรณีดังกล่าว ต้องเปลี่ยนคอมพ์อย่างเดียวเลยครับ

ปัจจัยตัวแปรตัวต่อไป ก็คือ ถ้าหากว่า เพิ่งเติมน้ำยาแอร์ได้ไม่นาน แต่ว่า มองไปที่ตาแมว เห็นฟองอากาศมากมาย ก็สามารถสันนิฐานได้ว่า มีการรั่วของน้ำยาในระบบ (อาจจะใช้น้ำยาแอร์ผิดสูตร) หรืออาจจะถูกช่างน้ำน้ำยาแอร์ปลอมมาเติมให้ โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เป็นต้นครับ

ปัจจัยตัวแปรตัวต่อไป ก็คือ หัวฉีดน้ำยา ตัน ซึ่งกรณีนี้ ก็จะทำให้การทำความเย็นไม่ได้ประสิทธิภาพครับ การที่จะรู้ว่า หัวฉีดตันหรือไม่ ต้องใช้เกจ์มิเตอร์วัดแรงดันน้ำยา จึงจะทราบครับ

ปัจจัยตัวแปรตัวต่อไป ก็คือ สวิทช์ต่างๆที่เกี่ยวกับแอร์ ทำงานบกพร่อง เช่น สวิทช์ปรับอุณหภูมิ และ/หรือ สวิทช์ปรับแรงดันน้ำยา เป็นต้น กรณีดังกล่าวนี้ ถ้าสวิทช์ทำงานบกพร่องก็จะทำให้การทำงานของระบบความเ ย็นบกพร่องไปด้วยครับ

ผมร่ายข้อมูลซะยาวเลย สรุปง่ายๆ ก็คือว่า ให้ไปหาช่างแอร์ที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบหาสาเหตุ แล้วแก้ไขไปตามปฐมเหตุที่แท้จริง แล้วความเย็นชุ่มฉ่ำ ก็จะกลับมาหาคุณเองครับ
__________________
JZM - 5
Moonlight is offline   ตอบพร้อมอ้างถึงข้อความเดิม
The Following 6 Users Say Thank You to Moonlight For This Useful Post:
4d4wd (17-04-2011), chpattana (16-04-2011), joe-civil@jz (12-04-2011), kazuya (11-04-2011), nat182 (11-04-2011), wk7000 (11-04-2011)