ดูแบบคำตอบเดียว
เก่า 15-02-2009, 22:33   #11
Moonlight
Super Moderator
 
รูปส่วนตัว Moonlight
 
วันที่สมัคร: Oct 2006
Car Brand: My Brand
Engine Type: 2JZ-GE VVT-i A/T
ที่อยู่: กรุงเทพฯ
กระทู้: 1,768
Thanks: 633
Thanked 8,042 Times in 1,296 Posts
คะแนน: 19 Moonlight is on a distinguished road
ส่งข้อความผ่าน MSN ถึง Moonlight
อ้างถึง:
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Tracks อ่านกระทู้
วิธีนี้ก็เจ๋งครับคุณลุง...

ขอบคุณที่มาเล่าประสบการณ์ห้อ่านครับ
ขอบคุณครับ

อ้างถึง:
กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ PhotJZ อ่านกระทู้
ผมใช้รถมา 10 กว่าปี มีปัญหากลางทางอยุ่ ไม่น่าจะเกิน 10ครั้ง แต่ละครั้ง ที่เกิด ผมจะตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูกเลย ผมไม่มีความรู้ ด้านนี้เลย แต่ละครั้งก็เอาตัวรอดได้ (มีคนมาช่วย)
ทั้งเสียงแตร คันหลังๆ คนที่มองมาจากรถเมล์ ใจนี้สั่นหมดเลย ครับ กลัวจะเสียเงินเยอะเลย รถที่ใช้อยุ่ก็เป้นกระบะ เก่ามือสอง ทุกวันนี้ไปไหนๆ ก็ยังกังวลอยุ่ครับ แต่ก็จำเป็นต้องใช้
นี่แหละครับ ที่ผม ต้อง เข้ามาช่วยแชร์ประสพการณ์ อยู่บ่อยๆ ทำให้เราได้ความรู้เพิ่มขึ้น ถ้าเรามีความรู้พื้นฐานแล้ว จะทำให้ ความประหม่า น้อยลงไปเยอะครับ การที่เราขับรถยนต์อยู่บนถนนหนทางนั้น โอกาสความน่าจะเป็น ของการจะเกิดอุบัติเหตุ มีความเป็นไปได้สูงพอๆกันหมดทุกคนหรอกครับ แต่คนที่มีความรู้พื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์ จะไม่ค่อยกลัวครับ เพราะคิดว่า อย่างน้อยๆ ก้จะรู้สาเหตุของปัญหา หรือถ้ายังไม่รู้ ก็พอจะคาดเดาได้ และค่อยๆคลำหา เดี๋ยวก็เจอครับ เมื่อไม่กลัว ก็จะไม่ลน ไม่ประหม่า ทำให้มีสติครับ รู้ว่า ควรทำอะไรก่อนหลัง ดังเช่นที่เป็นได้เล่าประสพการณ์วันนี้ ให้ทราบครับ

อ้างถึง:
วันนี้ผมขับรถไปธุระที่ รังสิต วิ่งบนโทลเวย์ 160 เพลินๆ อยู่ๆมีสัญญาณเสียง ปี๊ปๆๆๆๆ... เตือน จึงมองไปที่หน้าปัดรถ เห็นไฟแดง รูปความร้อนเครื่องยนต์ ขึ้น จึงมองไปที่เกจ์ความร้อน ขึ้น 97 องศา จึงรู้ได้ทันทีว่า น้ำในหม้อน้ำแห้ง (ผมใช้หม้อพักน้ำของรถยุโรปที่มีลูกลอยในหม้อพัก พอน้ำลด จะส่งสัญญาณไฟมาที่หน้าปัดรถ และผมก็ต่อพ่วงเข้าสัญญาณเสียงเตือนให้ดังเวลาน ้ำลด วันนี้ เจ้าลูกลอยตัวนี้ ช่วยผมให้รู้ตัวก่อนที่ชาร์ปจะละลาย หรือ ฝาสูบโก่งครับ) ผมจึงชะลอความเร็วลง ขณะชะลอก็ดูเกจ์ความร้อนไปด้วย มันเริ่มขึ้น จาก 97 เป็น 100 อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขึ้น เป็น 110 เป็น 116 ... ผมรู้ทันทีว่า แย่แล้ว ท่อแตกแน่ แต่อยู่บนโทลเวย์ ไม่ควรจอดรถ เพราะว่าจอด ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แน่ มองไปข้างหน้าเป็นทางลง ปทุมธานี จึงปิดแอร์ เปิดไฟฉุกเฉิน ค่อยๆคลานลงทางลง หาที่จอดที่ไม่เกะกะชาวบ้าน แล้วจึงดับเครื่อง ควันลอยออกมาจากขอบฝากระโปรงรถ
กรณีดังกล่าว ถ้าผมไม่มีความรู้มาก่อน ผมก็คงไม่ได้ทำหม้อน้ำแบบปิด แล้วใช้หม้อพักน้ำแบบมีฝาหม้อน้ำในตัว และมีลูกลอยอยู่ในฝาหม้อน้ำ ต่อสายไฟเข้ามาที่หน้าปัดเข้าไฟโชว์ และต่อพ่วงเข้าสัญญาณเสียงเตือน การที่ผมทำเช่นนี้ ทำให้ผมรู้ล่วงหน้าว่า เกิดเหตุการณ์ผิดปกติ (เพราะว่าทุกคนที่ขับขี้ สมาธิเกือบ 100% จะอยู่ที่ำาพการจราจรเบื้องหน้าครับ นานๆจึงจะเหลือบมาดูที่หน้าปัดหนหนึ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้น อาจจะสายเกินแก้แล้วก็ได้ครับ)

พอเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เราจะต้องไม่ลนครับ ต้องคิดลำดับเหตุการณื และต้องเดาให้ออกว่า เกิดอะไรขึ้น อย่างเหตุการณ์ด้านบนนั้น ผมเดารู้ว่า ท่อน้ำแตกแน่ ขณะนั้น ขับอยู่ 160 กม./ชม. บนทางโทลเวย์
  1. สิ่งแรกที่ผมทำคือ เบาเครื่องยนต์ (ชะลอรถ)
  2. เปิดไฟฉุกเฉิน
  3. หลบเข้าซ้ายสุดข้างทาง
  4. ดูหน้าปัด และเกจ์ความร้อน
  5. รู้ว่าจอดบนโทลเวย์ไม่ได้ พอดีมีทางลงใกล้ๆ
  6. ปิดแอร์ เพื่อลดกำลังเครื่อง (ไม่เร่งให้ความร้อนยิ่งขึ้นสูงเร็ว)
  7. ค่อยๆคลานลงทางลงโทลเวย์ แล้วจอดดับเครื่อง
  8. เปิดฝากระโปรงดูหาสาเหตุ
  9. แก้ไขสถานะการณ์ โดยพยายามลดความร้อนของเครื่องยนต์ โดยค่อยๆ เติมน้ำลงไปเรื่อยๆ
ถ้าผมตกใจ ผมรีบจอดดับเครื่องข้างทางบนโทลเวย์ เครื่องยนต์ผมอาจจะฝาสูบโก่งไปแล้วก็ได้ครับ และซ้ำร้าย ก็คงจะแก้ไขสถานะการณ์ ไม่ได้ด้วยครับ เพราะอยู่บน โทลเวย์ คงจะต้องโทรศัพท์ให้รถมาลากอย่างเดียวเลยครับ เพราะจะหาน้ำ หาลูกยางขาโต๊ะมาอุดท่อได้ที่ไหนครับ

เหมือนกับวันนี้เช่นกันที่บนทางด่วน ผมเห็นรถปิคอัพคันหนึ่ง ยางล้อหน้าระเบิด (ย้ำว่ายางเรเดียลล้อหน้าขวาระเบิด ครับ) ถ้าคนขับคนนั้นประหม่า ลน ตกใจ แล้วเหยียบเบรคกระทันหัน บอกได้เลยครับว่า รถคว่ำแน่ นอกจากอาจจะทำให้ตนเองบางเจ็บหรือถึงตาย ก็อาจจะทำให้ผู้โดยสารในรถเจ็บหรือตายได้ครับ หรือ อาจจะทำให้รถที่อยู่ใกล้เคียงได้รับอันตรายไปด้วยครั บ แต่เนื่องจากคนขับไม่ลน ตกใจ ใช้กำลังแขนขืนพวงมาลัยเอาไว้ ค่อยๆชะลอรถ ดดยแตะเบรคเบาๆแล้วปล่อย วนแตะเบาๆแล้วปล่อย แบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถนำรถจอดข้างทางได้ครับ

ยกตัวอย่างอีกกรณีหนึ่ง เรื่องความรู้จากประสพการณ์ เช่น เกิดปัญหาอยู่กลางป่า หรือกลางทาง เฟืองท้ายพัง ขับต่อไปไม่ได้ จำเป้นต้องเอาเฟืองท้ายมาเปลี่ยน การเปลี่ยนไม่ยากเท่าไหร่ ถ้ามีเครื่องมือ แต่บังเอิญเปลี่ยนแล้ว ลืมเอาเครื่องปั๊มน้ำมันเฟืองท้ายมา คราวนี้จะทำอย่างไร เฟืองท้ายอยู่ต่ำมาก น้ำมันเฟืองท้ายก็หนืดๆ ยกเทก็ไม่ได้ เพราะอยู่ต่ำมาก น้ำมันแค่ลิตร 2 ลิตร เชื่อมั้ยว่า ถ้าคนไม่มีประสพการณ์จะจนปัญญาที่จะเทน้ำมันเฟืองท้า ยเข้าไปได้ครับ

วิธีง่ายๆสำหรับคนมีประสพการณ์นะครับ คือ หาถุงพลาสติคมา 1 ใบ เทน้ำมันเฟืองท้ายตามปริมาณที่ต้องการลงในถุงครับ จากนั้นยัดปากถุงเข้าไปในรูใส่น้ำมันเฟืองท้าย แล้วค่อยๆบีบถุง รีดน้ำมันเข้าไปในเฟืองท้ายให้หมด จากนั้นก็ขันน๊อตปิดรู แล้วก็ขับต่อไปได้ครับ

ดังนั้น ผมจังบอกว่า เราต้องเก็บเกี่ยวความรู้ และประสพการณ์เอาไว้เยอะๆครับ มีสมาธิ ไม่ประหม่า ไม่ลน แล้วทุกอย่างก็จะจบด้วยดีครับผม
__________________
JZM - 5
Moonlight is offline   ตอบพร้อมอ้างถึงข้อความเดิม
The Following 2 Users Say Thank You to Moonlight For This Useful Post:
lsurin (22-10-2009), Lucky (03-06-2011)