| 
				
				เกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อยเกี่ยวกับ พรบ.รถยนต์
			 
 กระผมได้อ่านหนังสือ The Truck ฉบับ ส.ค.51  เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกเราไม่มากก็น้อย เลยนำเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทางครับ เกี่ยวกับกฎหมายพระราชบัญญัติรถยนต์ เพื่อให้เพื่อน ๆ วัยรุ่น วัยมันส์ ขาซิ่งทั้งหลายได้รับรู้กันทั่วหน้ากันครับ  เริ่มด้วยเรื่องของการใส่ Part (ชุดแต่งรอบคัน) รวมไปถึงชุดกันชนรอบคันด้วย  ซึ่งกรณีนี้ทางเจ้าหน้าที่จะพิจารณาจากลักษณะของการต  ิดตั้ง  หากติดตั้งในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกา  ย หรือจิตใจของผู้อื่น  เช่น  ไม่ติดยื่น ติดยาวจนเกินไป  และไม่มีส่วนหนึ่ง ส่วนใดเป็นสิ่งแหลมคม ยื่นออกมาทำร้ายให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ  อันนี้ถือว่าไม่ผิดกฎหมายนะครับ  แต่จะผิดกฎหมายก็ต่อเมื่อติดตั้งในลักษณะที่อาจก่อให  ้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อื่น เช่น ติดยื่น ติดยาวจนเกินไป หรือมีลักษณะเป็นของแหลมคม จนมีคนเดินผ่านรถไปเฉี่ยวถูกทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บ
 ต่อไปว่าด้วยเรื่อง  กระจกมองข้างแต่งซิ่งทรงต่าง ๆ  ซึ่งการติดกระจกมองข้างทรงต่าง ๆ ไม่ว่าจะอันเล็ก อันใหญ่ ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย  สามารถติดได้ เหตุผลเพราะ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 บัญญัติว่า รถยนต์ต้องมีและใช้เครื่องอุปกรณ์สำหรับรถดังต่อไปนี  ้
 -  เครื่องมองหลัง  เป็นกระจกเงา ติดอยู่ในที่ที่ผู้ขับรถ สามารถมองเห็นภาพการจราจรด้านข้าง และด้านหลังได้ทุกขณะอย่างชัดเจน
 เนื่องจากไม่ได้กำหนดจำนวน หรือขนาดของเครื่องมองหลัง  ดังนั้นจึงสามารถติดเพิ่มจากเดิมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
 อีกเรื่องกับเทรนด์ฮิต  ไฟตัดหมอก  ซึ่งขอบอกเอาไว้เลยนะครับว่าไม่ผิดกฎหมาย  แต่ก็มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ไม่ให้เกินงามด้วยเช่นก  ัน ดังนี้
 1.  สามารถติดได้ที่หน้ารถข้างละหนึ่งดวงอยู่ในระดับเดีย  วกัน  ใช้ไฟแสงขาว หรือแสงเหลือง
 มีกำลังไฟเท่ากันไม่เกินดวงละ 55 วัตต์  สูงจากพื้นทางราบไม่เกินกว่าระดับโคมไฟแสงฟุ่งไกล (ไฟสูง)  และโคมไฟแสงพุ่งต่ำ (ไฟต่ำ)  ศูนย์รวมแสงต้องอยู่ต่ำกว่าแนวขนานกับพื้นทางราบไม่น  ้อยกว่า 2 องศา หรือ 0.20 เมตรในระยะ 7.50 เมตร และไม่เฉไปทางขวา
 2.  ไฟตัดหมอกจะเปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างได้เฉพาะในทางที่จะขับรถผ่าน มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรค อันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถ  และเมื่อไม่มีรถอยู่ด้านหน้าหรือสวนมาในระยะของแสงไฟ ดังนั้น สรุปว่า
 1.  การติดไฟตัดหมอก มีเงื่อนไขตาม ข้อ 1
 2.  การใช้ไฟตัดหมอก  ต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขตาม ข้อ 2
 อีกหนึ่งเรื่องที่วัยรุ่นนั้นขาดไม่ได้เช่นกัน นั่นก็คือ  ท่อไอเสีย  รถยนยต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดท่อไอเสีย และปลายท่อด้านท้ายมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ  ซึ่งจะมีความผิดหรือไม่นั่นบอกได้เลยว่า ไม่ผิดครับ แต่สำคัญอย่าให้เสียงดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ก็  พอ คือ ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล
 เรื่องนี้ก็สำคัญ  และยังเป็นที่ค้างคาอยู่ในจิตใจของวัยรุ่นมาโดยตลอดก  ับ  การโหลดเตี้ย-ยกสูง  ว่าที่ถูกกฎหมาย และผิดกฎหมายนั้นเป็นยังไง (ทำไมรถโหลดเตี้ยชอบโดนจับ แต่ทำไมรถ Off Road ยกสูงถึงไม่ค่อยโดนจับ)  กล่าวเลย ก็คือ รถโหลดเตี้ย หรือรถยกสูง ไม่ผิดกฎหมาย เว้นแต่รถโหลดเตี้ย หากโหลดแล้ว มีผลต่อเนื่องไป ทำให้ส่วนอื่นของรถผิดกฎหมายไปก็จะถือว่ามีความผิดไป  ด้วย  ซึ่งเห็นได้ชัดที่สุดคือ  การโหลดเตี้ยทำให้ระดับของไฟหน้ารถผิดไปจากเดิม ตามที่กฎหมายพระราชบัญญัติรถยนต์กำหนดไว้ ได้แก่ รถยนต์;ไฟหน้ารถถูกกำหนดให้สูงจากพื้นทางราบถึงจุดศู  นย์กลาง
 ดวงโคมไม่น้อยกว่า 0.60 ม. แต่ไม่เกิน 1.35 ม.  หากนำรถไปโหลดเตี้ยแล้ว ลองเอาไม้บรรทัดวัดดูว่าน้อยกว่า 0.60 ม. หรือไม่  หากน้อยกว่าก็ผิดกฎหมายครับ  สำหรับรถยกสูงหากไฟสูงเกิน 1.35 ม. ก็ผิดกฎหมายพระราชบัญญัติรถยนต์เช่นเดียวกันครับ
 เรื่องสุดยอดความนิยมติดลมบนกันไปแล้วกับ  การเปลี่ยนเครื่องยนต์  ข้ามสายพันธุ์นู่นนี่มั่วไปกันหมด  โดยเฉพาะรถเครื่องยนต์ดีเซลในบ้านเราตอนนี้หนีไปวางเ  ครื่องยนต์เบนซินติดแก๊สไว้ใช้งานกันจนหมดแล้ว  ซึ่งการเปลี่ยนใส่เครื่องยนต์ตัวใหม่เข้าไปนั้นไม่ว่  าจะเป็นเครื่องยนต์แบบมีเทอร์โบ หรือว่าไม่มีเทอร์โบ  ก็ตามแต่จะผิดต่อกฎหมายอย่างไรนั่นก็ต้องให้นายทะเบี  ยนกรมการขนส่งทางบกเป็นผู้ตรวจสภาพก่อน หากตรวจผ่านก็ไม่ผิดครับ  ส่วนในเรื่องของการนำเครื่องยนต์ระบบต่าง ๆ มาติดตั้งเปลี่ยนแปลงระบบการเผาไหม้ใหม่มาเป็นการเผา  ไหม้ด้วยก๊าซ หรือแก๊สชนิดต่าง ๆ เช่น LPG, CNG หรือ NGV ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง  ซึ่งการติดตั้งระบบเผาไหม้ประเภทนี้จำเป็นจะต้องมีวิ  ศวกรมารับรองการติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซต่าง ๆ เพื่อยืนยันความปลอดภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานและกฎหมาย  เมื่อผ่านการตรวจสอบจากวิศวกรแล้ว ทางวิศวกรผู้ตรวจจะเซ็นใบรับรองให้ จากนั้นนำใบรับรองดังกล่าว ประกอบกับ คู่มือจดทะเบียนรถยนต์  แล้วนำรถไปตรวจที่กรมการขนส่งทางบกอีกครั้ง  เพื่อแจ้งใช้เชื้อเพลิงอื่นนอกจากน้ำมันเชื้อเพลิงที  ่ใช้อยู่เดิม
 เรื่องสุดท้ายกับสิ่งที่ไม่สามารถยั้งใจวัยรุ่นเอาไว  ้ได้ นั่นก็คือ  เรื่องของความเร็วสำหรับวัยรุ่นขาซิ่ง และ  การตรวจจับความเร็ว  ของทางเจ้าหน้าที่ในลักษณะที่ผิดกฎหมายนั้นก็ได้แก่
 1.  ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับประเทศไทยนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน
 1.1  ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นกฎกระทรวงออกตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ  ระบุไว้โดยสรุปดังนี้
 รถส่วนบุคคล รถเก๋ง รถแท๊กซี่ รถปิคอัพขนาด 1 ตัน
 - ใช้ความเร็วในเขต กทม.หรือ เขตเทศบาลได้ไม่เกิน 80 กม./ชม.
 -  ใช้ความเร็วนอกเขต กทม.หรือนอกเขตเทศบาล ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม.
 -  ซึ่งความเร็วดังกล่าวข้างต้นรวมถึงบนทางด่วนทุกขั้น (ที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร) ด้วย
 1.2  ยกเว้นทางมอเตอร์เวย์  มีกฎหมายระบุไว้เป็นการเฉพาะให้วิ่งได้ไม่เกิน 120 กม./ชม.  เหตุที่เป็นเช่นนี้เข้าใจว่า  เพราะมอเตอร์เวย์เป็นทางในระดับพื้นราบ ไม่มีทางโค้ง หรือจุดที่เกิดอันตรายมาก และส่วนใหญ่เป็นเส้นทางตรง ๆ ไม่ค่อยมีทางร่วมหรือทางเชื่อม ทำให้รถสามารถใช้ความเร็วได้มากอย่างปลอดภัย  แต่บนทางด่วน มีทางเชื่อม ทางขึ้นลง ทางแยก รวมทั้ง มีทางโค้ง โค้งหักศอก เป็นทางยกระดับ ทางลาดชัน อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย หากใช้ความเร็วสูง ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นบ่อย ๆ กรณีรถเกิดอุบัติเหตุแล้ว ตกลงจากทางด่วนลงมาพื้นราบ ทำให้คนที่ไม่มรู้เรื่องรู้ราวด้านล่างตายไปหลายกรณี  แล้ว
 1.3  กรณีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น  ส่วนใหญ่จะบังคับใช้ หรือเข้มงวดกับรถที่ขับรถเร็วจนผิดปกติ หรือใกล้จุดที่น่าจะเกิดอันตราย เช่น แหล่งชุมชน เป็นต้น  และจะมีการใช้เครื่องเรดาห์  ในการตรวจจับโดยเครื่องดังกล่าว ได้รับการรับรองความมาตรฐานจากกองทัพอากาศ เป็นระยะ ๆ  เพื่อกันปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนทางด่วนจะมีการเรียกตรวจจับที่คว  ามเร็วเกินกว่า 110 กม./ชม.  โดยผู้ขับขี่จะถูกเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่รถ  และออกใบแทน (ใบสั่ง) ให้รับไป ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษไว้ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท  ส่วนใหญ่พนักงานสอบสวนจะปรับไม่เกิน 500 บาท  แต่จะถูกยึดใบขับขี่ตามมาตรการบันทึกคะแนน ไว้ 15 วัน  หลังจากนั้น มารับใบขับขี่คืนได้ที่โรงพักที่เราเสียค่าปรับ  ปกติการจับกุมผู้ขับขี่รถเร็วกว่า กม.กำหนดก็ได้ทำเป็นเหตุการณ์ประจำวันอยู่แล้ว  แต่บาง สน.ไม่มีพื้นที่ให้จับเนื่องจากไม่มีระยะทางไกล ๆ ในการยิงด้วยเครื่องตรวจจับ เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1,000 ราย  การขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.  อาจดูช้าไปบ้างในเขตกรุงเทพฯ  แต่เป็นความเร็วที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะลดความรุนแร  งของการบาดเจ็บได้  รวมทั้งเป็นความเร็วที่ประหยัดน้ำมัน ในยุคพลังงานเชื้อเพลิงมีราคาแพง  ส่วนผลต่างของเวลาระหว่าง 90 กม./ชม. กับ 110 กม./ชม.  จะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
 --------------------------------------
 ขอขอบคุณ ที่มา หนังสือ The Truck ฉบับ ส.ค.51
 JZ_M-109
 |