ClubJZ Forums

ClubJZ Forums (http://www.ClubJZ.net/index.php)
-   ClubJZ! Useful Information (http://www.ClubJZ.net/forumdisplay.php?f=14)
-   -   อยากทราบว่าการดูคาลิเปอร์เบรค 1-2-4-6 พอช์ ดูอย่างไรครับ (http://www.ClubJZ.net/showthread.php?t=40332)

wongpadoo 26-09-2009 00:18

อยากทราบว่าการดูคาลิเปอร์เบรค 1-2-4-6 พอช์ ดูอย่างไรครับ
 
ผมรบกวนถามท่านผู้รู้อยากทราบว่าการดูคาลิเปอร์เบรค 1-2-4-6 พอช์ ดูอย่างไรครับ และอีกอย่างคือ เช่น คาลิเปอร์ 4 พอช์ ของเดิมติดรถ กับ ของแต่ง เช่น เบมโบ ต่างกันไม่ครับ รบกวนด้วยครับ ขอบคุณครับ:)

Moonlight 26-09-2009 00:56

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ wongpadoo (408727 กระทู้)
ผมรบกวนถามท่านผู้รู้อยากทราบว่าการดูคาลิเปอร์เบรค 1-2-4-6 พอช์ ดูอย่างไรครับ และอีกอย่างคือ เช่น คาลิเปอร์ 4 พอช์ ของเดิมติดรถ กับ ของแต่ง เช่น เบมโบ ต่างกันไม่ครับ รบกวนด้วยครับ ขอบคุณครับ:)

คาลิเปอร์ หรือคนไทยบางคนเรียกว่า ก้ามปูเบรคนั้น มีทั้งหมด 3 แบบครับ คือ
  1. แบบตายตัว
  2. แบบกึ่งลอยตัว
  3. แบบลอยตัว
คาลิเปอร์แบบตายตัว (Fixed Caliper) นั้นจะถูกยึดติดเข้าด้วยกัน ภายในจะมีลูกสูบอยู่ 2 ข้าง (คู่) โดยมีจากดีสหมุนอยู่ตรงกลาง เมื่อเวลาเกิดการเบรค แรงดันน้ำมันไฮดรอลิคจะผลักดันลูกสูบทั้ง 2 ข้าง ให้จับจานดีสเพื่อต้านแรงการหมุนครับ

คาลิเปอร์แบบนี้ จะมีประสิทธิภาพการเบรคสูง แต่การระบายความร้อนก็มีจำกัดไปด้วย เพราะว่าถูกติดตั้งตายตัว คาลิเปอร์ชนิดนี้ จึงจะมีจำนวนลูกสูบ (Pot) เป็นเลขคู่ เริ่มจาก 2 Pot, 4 Pot, 6 Pot เป็นต้น

คาลิเปอร์แบบกึ่งลอยตัว (Semi-Floating Caliper) แบบนี้จะติดตั้งอยู่กับแผ่นรับแรงบิดด้วยสลักยึด 2 ตัว เมื่อมีแรงดันน้ำมันไฮดรอลิคมาผลักดันลูกสูบและแผ่นผ ้าเบรคให้เกิดแรงต้านกับจานดีส ทำให้ตัวเสื้อคาลิเปอร์และผ้าเบรคอีกด้านเกิดปฏิกริย าต้านกลับ เคลื่อนตัวเข้าด้านใน จึงเกิดการจับจานดีสให้หยุดหมุน คาลิเปอร์แบบนี้ มีโครงสร้างของกลไกแบบง่าย และง่ายต่อการบำรุงรักษา จึงนิยมใช้กับระบบเบรคของล้อหลังครับ

คาลิเปอร์แบบนี้ จึงอาจจะมี 1 Pot หรือ2 pot ก็ได้ครับ

คาลิเปอร์แบบลอยตัว (Floating Caliper) ถูกออกแบบให้ลูกสูบติดตั้งอยู่ด้านในของตัวเรือนคาลิ เปอร์ เมื่อมีแรงดันไฮดรอลิคจากแม่ปั๊มเบรคมากระทำกับลูกสู บ ลูกสูบจะไปดันให้แผ่นผ้าเบรคเกิดแรงต้านการหมุนของจา นดีส ในเวลาเดียวกันก็จะทำให้เกิดปฏิกริยาแรงต้านกลับขึ้น ในแผ่นผ้าเบรคด้านตรวกันข้าม เป็นผลให้แรงดันไฮดรอลิคที่เกิดกับแผ่นผ้าเบรคทั้งสอ งด้านเท่ากัน

คาลิเปอร์แบบนี้ จึงอาจจะมี 1 Pot หรือ2 pot หรือ 3 pot หรือ 4 pot ก็ได้ครับ

**************************

ถ้าถามว่า ดูอย่างไร

เราจะดู Pot ของคาลิเปอร์นั้นๆว่ามีกี่ Pot ก็คือดูที่ลูกสูบครับ ถ้าดูจากตัวเสื้อภายนอก คนที่ไม่ชำนาญอาจจะดูยากหน่อย แต่คนที่ชำนาญเห็นบ่อยๆ จะทราบครับ เพราะว่า มันจะมีส่วนที่นูนออก และเป็นรูปลักษณะกลมๆทรงกระบอก มองไปที่คาลิเปอร์ นับดุว่ามีกลมๆทรงกระบอกกี่นูน ก็เท่านั้น Pot ครับ

แต่ถ้าคนที่ไม่ชำนาญ ให้นับดูลูกสูบข้างในโดยการถอดผ้าเบรคทั้ง 2 ข้างออกมา (ข้างใน,ข้างนอก) ก็ได้ครับ แล้วมองดูว่ามีลูกสูบเป็นรูปวงกลมกี่วงกลม บางตัวอาจจะมีด้านเดียว บางตัวอาจจะมี 2 ด้าน มีกี่วงกลม ก็เท่านั้น Pot ครับ


apile 26-09-2009 02:02

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ wongpadoo (408727 กระทู้)
ผมรบกวนถามท่านผู้รู้อยากทราบว่าการดูคาลิเปอร์เบรค 1-2-4-6 พอช์ ดูอย่างไรครับ และอีกอย่างคือ เช่น คาลิเปอร์ 4 พอช์ ของเดิมติดรถ กับ ของแต่ง เช่น เบมโบ ต่างกันไม่ครับ รบกวนด้วยครับ ขอบคุณครับ:)


ต่างกันที่ขนาดของลุกสูบ และขนาดจานครับ ซึ่ง 2 ปัจจัยนี้ ทำให้ระยะเบรคลดลงครับ

pipekub 26-09-2009 02:06

ผมใช้วิธีดู ตุ่มๆ ที่มันนูนออกมาจาก คาลิปเปอร์ และ x2

ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่าครับ

:redface: :redface: :redface:

wongpadoo 26-09-2009 07:57

และอีกอย่างคือ เช่น คาลิเปอร์ 4 พอช์ ของเดิมติดรถ กับ ของแต่ง เช่น เบมโบ ต่างกันไม่ครับ รบกวนด้วยครับ ขอบคุณครับ

Moonlight 26-09-2009 08:36

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ wongpadoo (408823 กระทู้)
และอีกอย่างคือ เช่น คาลิเปอร์ 4 พอช์ ของเดิมติดรถ กับ ของแต่ง เช่น เบมโบ ต่างกันไม่ครับ รบกวนด้วยครับ ขอบคุณครับ

จริงๆแล้ว ผมตั้งใจเว้นที่จะตอบเรื่องนี้ (ไม่ระบุถึงยี่ห้อ) แต่พอคุณยกประเด็นกระทู้มาถามอีก ก็เลยขอตอบนิดก็แล้วกันนะครับ

ในความคิดส่วนตัวของผมแล้ว ในแง่ประสิทธิภาพ น่าจะใกล้เคียงกันครับ ถ้า ขนาดของจานเบรคและขนาดของลูกสูบเท่ากันครับ เพราะว่า โครงสร้างของหลักการทำงาน เหมือนกันครับ ไม่ว่าจะดัดแปลงภายในให้วิจิตรแค่ไหนก็ตาม มันก็คือ จะต้องถูกแรงดันไฮดรอลิคขับดันลูกสูบและผ้าเบรคมาจับ จารเบรคอยู่ดีครับ แต่ว่าอาจจะมีต่างก็คือ จานเบรคซึ่งอาจจะมีการออกแบบ ให้มีการระบายอากาศได้ดีครับ (ระบายความร้อนได้เร็วขึ้น) นอกนั้น ความสำคัญของการเบรคจริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับระบบเบรคส่วนอื่นๆด้วยครับ (หาอ่านข้อมูลได้ในหมวดว่าด้วยเรื่องการห้ามล้อ ที่ Forum Technical ครับ)

เรื่องยี่ห้อ น่าจะเป็นเรื่องค่านิยม และการซื้อหาง่าย/ยากครับ



wongpadoo 26-09-2009 12:53

ถามอีกหนึ่งครับคุณมูล ว่า คาลิเปอร์ พอช์ยิ่งมหายิ่งดีหรือครับ

Pajingo 26-09-2009 13:11

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ wongpadoo (408960 กระทู้)
ถามอีกหนึ่งครับคุณมูล ว่า คาลิเปอร์ พอช์ยิ่งมหายิ่งดีหรือครับ

ไม่เสมอไปครับ...ใช้แค่ที่เหมาะกับเราก้พอแล้วครับ

การที่ใช้พอร์ทมาก ก็ยิ่งต้องใช้จานขนาดใหญ่ สิ่งที่จะตามมาก็คือเรื่องของน้ำหนักที่ต้องมากตามไป ด้วยครับ เมื่อหนักมากช่วงล่างก็ต้องรับภาระหนักซึ่งคงไม่เป้น ผลดีแน่ๆ แต่ถ้าถามในแย่ของการเบรคแล้วยิ่งมากและใหญ่ย่อมมีส่ วนให้หยุดได้ดีกว่าเป็นธรรมดาครับ

Moonlight 26-09-2009 13:19

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ wongpadoo (408960 กระทู้)
ถามอีกหนึ่งครับคุณมูล ว่า คาลิเปอร์ พอช์ยิ่งมหายิ่งดีหรือครับ

ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวครับ

ต้องบอกอย่างนี้ดีกว่า การที่ลูกสูบมาก ถึงแม้จะมีขนาดลูกสูบที่เล็กลงก็ตาม แต่ว่า ก็ต้องใช้ คาลิเปอร์ที่ใหญ่ขึ้น ผ้าเบรคก็ต้องมีพื้นที่มากขึ้นด้วย ขนาดจานดีสเบรคก็ต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางที่มากขึ้นไป ด้วย

(ถ้าคิดเปรียบเทียบกับวงของพวงมาลัย วงเล็ก กับ วงใหญ่ ในการหมุนให้ได้วงเลี้ยวที่เท่ากันนั้น เราต้องหมุนพวงมาลัยวงเล็กมากรอบกว่า พวงมาลัยวงใหญ่ อีกทั้ง การใช้กำลังการจับหมุน หรือจับหยุดหมุนนั้น วงใหญ่จะใช้กำลังน้อยกว่า ดังนั้นถ้าคิดย้อนกลับ การที่มีกำลังจากแรงดันไฮดรอลิคมากระทำเท่าๆกัน การจะจับห้ามล้อให้หยุดได้นั้น จานดีสเบรควงเล็ก จะต้องใช้ระยะการหยุดมากกว่า จานดีสเบรควงใหญ่ครับ)

ถ้าคิดเปรียบเทียบ ระหว่างคนมือใหญ่แต่ใช้นิ้วเล็กหลายๆนิ้วจับสิ่งของ ย่อมมั่นคงกว่า คนที่มือเล็กกว่า แล้วใช้นิ้วที่ใหญ่เพียง 2 นิ้วจับสิ่งของที่มีขนาดเท่ากันครับ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความจำเป็นที่จะต้องใช้งานจริงแค่ไห นด้วยครับ เบรคดีเกินไป เวลาตกใจเหยียบเบรคกระทันหัน ก็หัวทิ่มจนเป็นอันตรายได้เช่นกันครับ (ครั้งหนึ่งผมเคยทำเบรคให้กับรถบรรทุกของผม ดีเกินไป ขนาดที่ว่า คนขับเผลอเหยียบเบรคแรง คนงานโดยสารอยู่มากองรวมกันอยู่ด้านหน้าหมดเลยครับ จนต้องแก้ไขระบบให้ลดประสิทธิภาพการเบรคลงครับ)

ทั้งหมดนี้ การจะติดตั้งระบบเบรค จะต้องขึ้นอยู่กับความพอดี เหมาะสมครับ ดีเกินไปก็อันตรายเช่นกันครับ และต้องไม่ใช่ทำเบรคตามเทรน สมัยนิยม หรือ มีไว้อวดชาวบ้านครับ มันผิดวัตถุประสงค์ครับ

ดีสเบรค มีไว้"ห้ามล้อ"
ไม่ใช่มีไว้"ห้ามละสายตา"
ครับ

Litmanen 26-09-2009 15:26

ขอขอบคุณบทความของลุงมูน มากๆครับ ผมติดตามอ่านอยู่ครับ :)

ขอสอบถามเป็นความรู้เพิ่มเติม

ในการซื้อรถที่เปลี่ยนเครื่องยนต์มา การที่จะทดสอบระบบเบรคของรถคันนั้นๆ ว่ามีประสิทธิภาพกับการ หยุดรถหรือไม่ในกรณีฉุกเฉิน มีเทคนิค เคล็ดลับอะไรบ้างครับ

รถผม E30 วางเครื่อง 2j หน้าดิส - หลังดรัม (น่าจะเบรคเดิม) ย้ายหม้อลมและ(น่าจะ)เปลี่ยนเป็นแบบชั้นครึ่งแล้ว

ผมขับเองจะรู้จังหวะในการเบรค เคยให้เพื่อนลองขับ เพื่อนบอกว่าเบรคไม่ค่อยอยู่(ใช้ความเร็วระดับนึง) เลยโทรถามเจ้าของเก่า เค้าก็งงว่าทำไมไม่อยู่ ก่อนวางเครื่อง J เคยว่าง SR โบ มาก่อน

จากประสบการณ์อันน้อยนิดของผม ผมเลยติดอยู่ในใจว่า หน้าดิส - หลังดรัม กับเครื่องเจ มันจะไหวหรือเปล่าครับ แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นเบรคของ Skyline มันจะหยุดดีกว่าเดิมมากขึ้นไหมครับ

ปล. ปัจจุบันไม่ค่อยมั่นใจในระบบเบรคของรถตัวเอง เน้นขับเรื่อยๆ และเร่งแซง ไม่กล้าซิ่ง เพื่อความปลอดภัย

ขอบคุณครับ

Moonlight 26-09-2009 16:06

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Litmanen (409057 กระทู้)
ขอขอบคุณบทความของลุงมูน มากๆครับ ผมติดตามอ่านอยู่ครับ :)

ขอสอบถามเป็นความรู้เพิ่มเติม

ในการซื้อรถที่เปลี่ยนเครื่องยนต์มา การที่จะทดสอบระบบเบรคของรถคันนั้นๆ ว่ามีประสิทธิภาพกับการ หยุดรถหรือไม่ในกรณีฉุกเฉิน มีเทคนิค เคล็ดลับอะไรบ้างครับ

รถผม E30 วางเครื่อง 2j หน้าดิส - หลังดรัม (น่าจะเบรคเดิม) ย้ายหม้อลมและ(น่าจะ)เปลี่ยนเป็นแบบชั้นครึ่งแล้ว

ผมขับเองจะรู้จังหวะในการเบรค เคยให้เพื่อนลองขับ เพื่อนบอกว่าเบรคไม่ค่อยอยู่(ใช้ความเร็วระดับนึง) เลยโทรถามเจ้าของเก่า เค้าก็งงว่าทำไมไม่อยู่ ก่อนวางเครื่อง J เคยว่าง SR โบ มาก่อน

จากประสบการณ์อันน้อยนิดของผม ผมเลยติดอยู่ในใจว่า หน้าดิส - หลังดรัม กับเครื่องเจ มันจะไหวหรือเปล่าครับ แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นเบรคของ Skyline มันจะหยุดดีกว่าเดิมมากขึ้นไหมครับ

ปล. ปัจจุบันไม่ค่อยมั่นใจในระบบเบรคของรถตัวเอง เน้นขับเรื่อยๆ และเร่งแซง ไม่กล้าซิ่ง เพื่อความปลอดภัย

ขอบคุณครับ

เวลาที่เราจะขับรถที่เราไม่เคยชิน สิ่งแรกที่จะต้องทดสอบก่อนเลยก็คือ ประสิทธิภาพการเบรคครับ เพราะนั่นหมายถึง ความปลอดภัย ของชีวิตและทรัพสินทั้งหมดที่อยู่ในรถคันนั้นและภายน อกรถคันนั้นด้วยครับ

เทคนิคในการตรวจสอบประสิทธิภาพ การเบรคของรถคันที่จะทดสอบนั้น ก่อนอื่นเราต้องมีมาตราฐานในใจของเาคร่าวๆอยู่ก่อนคร ับ จากนั้นค่อยนำมาเปรียบเทียบ บวกลบ กับประสิทธิผล ครับ

ในการใช้งานรถแต่ละคันนั้น เมื่อตัวเราเองเป็นผู้ขับ เราก็ต้องใช้ความเคยชินในการห้ามล้อของรถที่เราขับอย ู่ประจำเป็นมาตราฐานในใจก่อนครับ จากนั้นให้ตรวจสอบว่า รถที่เรากำลังจะทดสอบนั้น มีอุปกรณ์ช่วยอะไรบ้าง เช่น
  • กำลังเครื่องยนต์เท่าไหร่ (ทดสอบแรงบิดด้วยการลองขับได้ครับ)
  • มี ABS มั้ย (วิธีการเบรคของระบบ ABS จะต่างจากรถที่ไม่มี ABS ครับ)
  • ขนาดและคุณภาพของยางล้อรถ (ขนาดหน้ายาง จะมีผลต่อความมั่นคงในการขับขี่ และการเสียดทานต่อพื้นถนนครับ ความหนาของดอกยาง ความนิ่ม/แข็งของเนื้อยาง มีผลต่อสมรรถนะในการขับขี่เช่นกันครับ)
  • ชนิดและขนาดของระบบเบรค (หน้าดีสหลังดรัม หรือ ดีสทั้ง 4 ล้อ)
  • ขนาดของหม้อลมเบรค (ช่วยเสริมแรงในการห้ามล้อ)

เป็นต้น

หลังจากตรวจสอบแล้ว ก็นำมาบวกลบ ความน่าจะเป็นเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพการเบรครวมของ รถที่เราเคยชิน แล้วเก็บข้อมูลไว้ในใจ จากนั้นก็เริ่มจากขับจริงครับ

ทดสอบขับแบบใช้แรงบิดแล้วเบรค
ทดสอบแบบขับความเร็วสูงแล้วเบรค
ทดสอบการใช้เอนจิ้นเบรค แล้ว ชะลอรถ แล้วค่อยเบรค
ทดสอบการชะลอรถ
ขณะทดสอบให้ฟังเสียงเบรคไปด้วยครับ

แล้วเปรียบเทียบระยะกับค่าที่เรา (บวก,ลบ) ระยะความเคยชินของรถเราที่อยู่ในใจ เราก็จะทราบว่า รถคันนั้นๆ มีประสิทธิภาพการเบรคเป็นอย่างไร ครับ

เมื่อเราใช้งานจริง เราจะได้มี ระยะความปลอดภัยคร่าวๆอยู่ในใจ เวลาเราขับไปอยู่ในสภาพถนนที่ผิดแปลก ก็จะได้ เพิ่มความระมัดระวังเพิ่มขึ้น เช่น สภาพถนน ขรุขระ กรวดทราบ น้ำขัง พื้นยางมอตอย พื้นคอนกรีต พื้นเปียกลื่น เป็นต้น

ส่วนแต่ละคนที่ มาขับรถคันเดียวกัน ให้ความคิดเห็นเรื่องประสิทธิภาพการเบรคไม่เหมือนกัน เป็นเพราะว่า แต่ละคน เปรียบเทียบ ค่า ที่อยู่ในใจนั้น ในมาตราฐานที่ไม่เท่ากันครับ

อ้างถึง:

ปล. ปัจจุบันไม่ค่อยมั่นใจในระบบเบรคของรถตัวเอง เน้นขับเรื่อยๆ และเร่งแซง ไม่กล้าซิ่ง เพื่อความปลอดภัย
ข้างบนนี้ เป็น ระบบเบรค แบบหนึ่งของผู้ขับขี่ที่ดีครับ คือ เบรคในใจเราไว้ก่อน ครับ (ความไม่ประมาท คือการเตรียมพร้อมเพื่อความปลอดภัยครับ)

ผมขอยก ข้อมูลเรื่อง ดรัมเบรค กับดีสเบรค เกี่ยวกับ ข้อดี ข้อด้อย ไปไว้ Reply ถัดไปนะครับ


Moonlight 26-09-2009 16:53

จริงๆแล้ว มีคนเข้าใจผิด เรื่องประสิทธิภาพของ ดรัมเบรค และ ดีสเบรคกันมากครับ

โดยเฉพาะสมาชิกที่ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลส่วนใหญ่แล้ ว จะคิดว่า ระบบ ดีสเบรค 4 ล้อ จะมีประสิทธิภาพดีกว่า ระบบ หน้าดีส หลัง ดรัมเบรค ซึ่งว่ากันตามหลักความจริงแล้ว มิใช่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียวครับ

ไม่ว่า จะเป็น ดรัมเบรค หรือ ดีสเบรค ถ้ามีพื้นที่ การจับจานเบรค พอๆกันแล้ว ประสิทธิภาพการห้ามล้อ ก็จะพอๆกันครับ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ในขนาดวงจานเบรคที่เท่ากันแล้ว ดรัมเบรค จะได้ประสิทธิภาพการเบรคที่ดีกว่าด้วยซ้ำไปครับ เพราะว่า มีพื้นที่ผ้าเบรคในการจับจานเบรคมากกว่าดีสเบรค ครับผม (ให้ลองสังเกตุรถบรรทุกซิครับ ใช้ดรัมเบรคเป็นมาตราฐานในการห้ามล้อทุกคันครับ ถ้าคิดว่า ประสิทธิภาพไม่ดีแล้ว ทำไม รถบรรทุกที่รับโหลดหนักๆ จึงไม่หันไปใช้ระบบดีสเบรคล่ะครับ)

เพียงแต่ว่า ในแง่ของการตลาดรถเล็กแล้ว ยังมีส่วนประกอบของค่านิยม ความสวยงาม เข้ามาประกอบอยู่ด้วยครับ จึงกลายเป็นสิ่งที่นิยม ใช้ ดีสเบรค 4 ล้อ โชว์ลายล้อแมก และโชว์คาลิเปอร์กันครับ

แต่จริงๆแล้ว ยังมีคุณสมบัติข้อดีของระบบ ดีสเบรค ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของระบบนี้ ที่แตกต่างจากดรัมเบรค ดังนี้ครับ
  1. มีคุณสมบัติในการเพิ่มแรงเบรคในตัวเองต่ำ (ตรงข้ามกับครัมเบรคเลยครับ) การเปลี่ยนแปลงค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานจากแรงเบรค มีนิดเดียว ทำให้การทรงตัวของรถดีขึ้น เพราะคนขับเป็นผู้ควบคุมแรงเบรค และการระบายความร้อนทำได้ดี เนื่องจากได้รับการไหลของอากาศที่ปะทะเข้ามาอย่างต่อ เนื่อง
  2. ป้องกันน้ำได้ดี เวลารถวิ่งบนถนนที่เปียกน้ำ น้ำที่เปียกผ้าเบรคจะถูกสลัดออกด้วยแรงเหวี่ยงหนีศูน ย์กลางของจนเบรค ทำให้ผ้าเบรคกลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว
  3. การออกแบบโครงสร้างที่ง่ายต่อการตรวจสอบ ง่ายทั้งการเปลี่ยนผ้าเบรคและการบำรุงรักษา
  4. ไม่จำเป็นต้องปรับระยะห่างของผ้าเบรค แม้ว่า ผ้าเบรคและผิวจานเบรค จะเสียดสีกันจนสึก ลูกยางเบรคจะทำหน้าที่เป็นตัวปรับระยะห่างผ้าเบรคกับ จานเบรคเองอัตโนมัติ
  5. ขนาดของผ้าดีสเบรคถูกจำกัดขนาดเนื่องจากลักษณะของการ ออกแบบ จึงทำให้จำเป็นที่จะต้องออกแบบลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรักษาแรงในการเบรคให้เพียงพอ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเวเปอร์ล๊อคขึ้นในวงจรเบรคได้ง่าย และจะทำให้ผ้าเบรคสึกเร็วกว่าระบบดรัมเบรคครับ
ทั้ง 5 ข้อนี้ ตรงกันข้ามกับระบบดรัมเบรคเลยครับ จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงคุณสมบัติของระบบดรัมเบรคแล ้วนะครับ

nat_jza31 28-09-2009 02:57

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Moonlight (408972 กระทู้)
ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวครับ

ต้องบอกอย่างนี้ดีกว่า การที่ลูกสูบมาก ถึงแม้จะมีขนาดลูกสูบที่เล็กลงก็ตาม แต่ว่า ก็ต้องใช้ คาลิเปอร์ที่ใหญ่ขึ้น ผ้าเบรคก็ต้องมีพื้นที่มากขึ้นด้วย ขนาดจานดีสเบรคก็ต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางที่มากขึ้นไป ด้วย

(ถ้าคิดเปรียบเทียบกับวงของพวงมาลัย วงเล็ก กับ วงใหญ่ ในการหมุนให้ได้วงเลี้ยวที่เท่ากันนั้น เราต้องหมุนพวงมาลัยวงเล็กมากรอบกว่า พวงมาลัยวงใหญ่ อีกทั้ง การใช้กำลังการจับหมุน หรือจับหยุดหมุนนั้น วงใหญ่จะใช้กำลังน้อยกว่า ดังนั้นถ้าคิดย้อนกลับ การที่มีกำลังจากแรงดันไฮดรอลิคมากระทำเท่าๆกัน การจะจับห้ามล้อให้หยุดได้นั้น จานดีสเบรควงเล็ก จะต้องใช้ระยะการหยุดมากกว่า จานดีสเบรควงใหญ่ครับ)

ถ้าคิดเปรียบเทียบ ระหว่างคนมือใหญ่แต่ใช้นิ้วเล็กหลายๆนิ้วจับสิ่งของ ย่อมมั่นคงกว่า คนที่มือเล็กกว่า แล้วใช้นิ้วที่ใหญ่เพียง 2 นิ้วจับสิ่งของที่มีขนาดเท่ากันครับ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความจำเป็นที่จะต้องใช้งานจริงแค่ไห นด้วยครับ เบรคดีเกินไป เวลาตกใจเหยียบเบรคกระทันหัน ก็หัวทิ่มจนเป็นอันตรายได้เช่นกันครับ (ครั้งหนึ่งผมเคยทำเบรคให้กับรถบรรทุกของผม ดีเกินไป ขนาดที่ว่า คนขับเผลอเหยียบเบรคแรง คนงานโดยสารอยู่มากองรวมกันอยู่ด้านหน้าหมดเลยครับ จนต้องแก้ไขระบบให้ลดประสิทธิภาพการเบรคลงครับ)

ทั้งหมดนี้ การจะติดตั้งระบบเบรค จะต้องขึ้นอยู่กับความพอดี เหมาะสมครับ ดีเกินไปก็อันตรายเช่นกันครับ และต้องไม่ใช่ทำเบรคตามเทรน สมัยนิยม หรือ มีไว้อวดชาวบ้านครับ มันผิดวัตถุประสงค์ครับ

ดีสเบรค มีไว้"ห้ามล้อ"
ไม่ใช่มีไว้"ห้ามละสายตา"
ครับ

ชอบๆๆๆประโยคเด็ดครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
เช่น รถเครื่อง2.4 เกียร์ออโต้ ล้อ20 เบรค6pot เพื่อโชว์อย่างเดียวครับ ผมว่าไม่ได้ขับเร็วซักเท่าไรหรอกครับ เดี๋ยวล้อดุ้งๆครับ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:03

Powered by vBulletin รุ่น 3.6.8 Copyright ©2000-2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
ClubJZ. NET Bestview 1024 * 768 and 1208 * 1024 pixels