ClubJZ Forums

ClubJZ Forums (http://www.ClubJZ.net/index.php)
-   ClubJZ ! D.I.Y. (http://www.ClubJZ.net/forumdisplay.php?f=11)
-   -   ใครมีปัญหาเรื่องแอร์รถเชิญทางนี้เลยครับ (http://www.ClubJZ.net/showthread.php?t=20902)

Moonlight 04-08-2009 22:16

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ joe-civil@cef (374486 กระทู้)
ขอโทษคับลุงมูลผมถามผิด
ถามใหม่เลยละกันนะครับ ไม่โกรธน้า
พัดลมตัวเนี้ยผมลองต่อตรงกับแบตเตอรี่มันติดอะคับแต่ เวลาเปิดแอร์มันไม่ติดมันน่าจะมีสาเหตุจากอะไรคับ
ขอบคุณอีกครั้งครับลุงมูล
joe-civil@cef

ไม่โกรธหรอกครับ :)

ถามผิดก็ถามใหม่ เท่านั้นเองครับ ลองไล่สายไฟจากพัดลม จะต้องมีการต่อเข้ารีเลย์ ตรวจเช็คสายไฟจากรีเลย์ว่า หลุดหลวมมั้ย จะมีเส้นหนึงมาจาก หน้าคลัช์คอมพ์แอร์ เช็คดูเวลา เวลาหน้าคลัชท์คอมพ์แอร์ทำงาน มีสัญญาณไฟมามั้ย ตรวจเช็ค ที่รีเลย์ ว่า มีเส้นหนึ่งเป็น ขั้ว + และ อีกเส้นเป็นขั้ว - ตรวจดูว่า มีสัญญาณครบวงจรมั้ย ตรวจเช็คฟิวส์ว่าขาดมั้ยครับ

ถ้าถามว่า เกิดจากอะไรที่พัดลมไม่ติด ผมก็ต้องตอบว่า เกิดจาก สัญญาณไฟไม่ครบวงจรครับ

กิติพัฒน์ พรรณประสาทน์ 04-08-2009 22:27

ลุงมูนครับขอถามลุงหน่อยครับหน้าคลัชแอร์จับบ้างไม่จ ับบ้างเลยให้ช่างดูให้วัดดูไฟมาประมาณ7-8โวลช่างเลยต่อลีเลเพิ่มให้ตอนนี้จับตลอดผมไม่เข้าใจ ว่าไฟทำไหมมานิดเดียวครับ:emo_toon09:

Moonlight 04-08-2009 23:01

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ กิติพัฒน์ พรรณประสาทน์ (374683 กระทู้)
ลุงมูนครับขอถามลุงหน่อยครับหน้าคลัชแอร์จับบ้างไม่จ ับบ้างเลยให้ช่างดูให้วัดดูไฟมาประมาณ7-8โวลช่างเลยต่อลีเลเพิ่มให้ตอนนี้จับตลอดผมไม่เข้าใจ ว่าไฟทำไหมมานิดเดียวครับ:emo_toon09:

โดยปกติ สายไฟเส้นเล็กๆ อาจจะมีแรงต้านทานเยอะก็ได้ครับ ทำให้ แรงเคลื่อนสายไฟผ่านมาต่ำ สายไฟพวกนี้ เหมาะกับการใช้เป็น สัญญาณไฟครับ ไม่เหมาะกับการนำมาใช้กับกระแสไฟสูงๆ ดังนั้น สายพวกนี้ จึงควรต่อเข้ากับรีเลย์ เป็นเป็นสายสัญญาณให้ รีเลย์ทำงานครบวงจรแล้วปล่อยกระแสไฟ เข้าสายไฟเส้นใหญ่ จึงทำให้แรงเคลื่อนมาเต็ม 12 โวล์ทครับ

อย่างแตรรถยนต์ ไฟแสงสว่างหน้ารถ ก็เช่นกันครับ ต้องผ่านรีเลย์ทั้งนั้นครับ สายไฟเส้นเล็กๆพวกนี้ ถ้าเราส่งแรงเคลื่อนออกมาเต็ม 12 โวล์ทได้ก็จริง แต่ก็จะรับกระแสไฟแรงๆไม่ได้ครับ หรือถ้าได้ ก็ไม่นาน สายก็จะร้อน จนอาจจะไหม้ก็ได้ ถ้าไม่มีฟิวส์ตัดไฟเสียก่อนครับ

กิติพัฒน์ พรรณประสาทน์ 05-08-2009 08:52

ขอบคุรครับลุงมูน ที่เพิ่มลอยหยักในหัวผมครับ:emo_toon05: :emo_toon09:

bokyod 07-08-2009 00:42

โหล
 
สวัสดีคับๆ
รถผมแอร์ไม่่ค่อยเย็นเลยคับๆ
สตาร์ดตอนเช้าเย็นคับๆ จอดในโรงรถ
พอ ออกข้างนอกไม่เย็นขึ้นมาทันทีเลยๆ
ไปล้างตู้แอร์มาหนึ่งครั้ง หลังจากไปวางเครื่องมา
ดูที่ตัว เช็คน้ำยาแอร์ๆ เป็น ฟองๆๆ เต็มๆเลย
ตอนล้างช่างบอกว่า ฟองๆๆ เนี่ยแหละ เย็นๆ
เหอๆ ๆ ไม่รู้จาทำไงคับๆ ร้อนๆๆ :)

Moonlight 07-08-2009 11:02

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ bokyod (376087 กระทู้)
สวัสดีคับๆ
รถผมแอร์ไม่่ค่อยเย็นเลยคับๆ
สตาร์ดตอนเช้าเย็นคับๆ จอดในโรงรถ
พอ ออกข้างนอกไม่เย็นขึ้นมาทันทีเลยๆ
ไปล้างตู้แอร์มาหนึ่งครั้ง หลังจากไปวางเครื่องมา
ดูที่ตัว เช็คน้ำยาแอร์ๆ เป็น ฟองๆๆ เต็มๆเลย
ตอนล้างช่างบอกว่า ฟองๆๆ เนี่ยแหละ เย็นๆ
เหอๆ ๆ ไม่รู้จาทำไงคับๆ ร้อนๆๆ :)

จากที่เล่ามานั้น เรียกว่า อาการแอร์ทำความเย็นไม่สู้แดด ส่วนใหญ่เนื่องมาจาก น้ำยาแอร์น้อยเกินไปครับ

จากที่บอกว่า มองเห็น ฟองมากมายวิ่งไปมา ซึ่งสิ่งที่เรามองอยู่นั้น เรียกว่าน้ำยาแอร์ครับ ซึ่งเป็นสารความเย็น ที่ส่งมาจาก คอนเดนเซอร์ (คอยล์ร้อน) ผ่านเข้า รีซีฟเวอร์ดรายเออร์ (Receiver Dryer หรือ Dehydrator) ซึ่งคนไทยเรียกกันสั้นๆว่า แอร์ดรายเออร์ ซึ่งทำหน้าที่ พักสารความเย็นแล้วดูดรับความชื้น หลังจากดูดความชื้นแล้ว สารความเย็นนี้ ก็จะถูกส่งต่อไปเข้า (จุดนี้เอง ที่จะมีกระจกให้มองดูสารความเย็น (น้ำยาแอร์) ว่าเต็มมาก, เต็มพอดี, น้อย, น้อยมาก หรือ ไม่มีเลย) เอ๊กซ์แพนชั่นวาล์ว แล้วเข้า อีวาพอเรเตอร์ (คอยล์เย็น)

การมองกระจก ดูลักษณะ สารความเย็น แล้วแปลความหมาย ออกมาดังนี้

  • เต็มมาก จะเห็นน้ำยา แต่ว่า ไม่มีฟองอากาศ หรือ แทบไม่มีฟอง ผลกระทบที่เกิด จะทำให้ คอมเพรสเซอร์แอร์ ทำงานหนัก แต่กลับทำความเย็นไม่ดี (ไม่สู้แดด)
  • เต็มพอดี จะเห็นน้ำยา โดยมีฟองอากาศอยู่ 2 - 3 ฟอง วิ่งไปมา และเวลาคอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน จะเห็นฟองอากาศเล็กๆผุดขึ้นลงเต็มไปหมด ก่อนที่จะหายไปครับ ผลกระทบที่เกิด จะทำให้ ระบบการทำความเย็นดี ไม่กินกำลังคอมเพรสเซอร์ ปรับควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสารได้ดี
  • น้อย จะเห็นน้ำยา โดยมีฟองอากาศอยู่ มากกว่า 5 - 6 ฟอง วิ่งไปมา และเวลาคอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน จะเห็นฟองอากาศเล็กๆผุดขึ้นลงเต็มไปหมด ก่อนที่จะหายไปครับ ผลกระทบที่เกิด จะทำให้ ระบบการทำความเย็นไม่ค่อยดีดี กินกำลังคอมเพรสเซอร์มากหน่อย ปรับควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสารไม่ค่อยได้ได้ดีนัก
  • น้อยมาก จะเห็นน้ำยา โดยมีฟองอากาศเล็กๆเต็มไปหมด วิ่งไปมา และเวลาคอมเพรสเซอร์หยุดทำงาน จะเห็นฟองอากาศเล็กๆผุดขึ้นลงเต็มไปหมด ก่อนที่จะหายไปครับ ผลกระทบที่เกิด จะทำให้ ระบบการทำความเย็นไม่ดี กินกำลังคอมเพรสเซอร์มาก ปรับควบคุมอุณหภูมิในห้องโดยสารไม่ได้เลย อาการคล้ายๆกับ สารความเย็นเต็มมาก คือ ไม่สู้แดด
  • ไม่มีเลย จะมองไม่เห็นน้ำยาในช่องกระจกเลย ผลกระทบที่เกิด จะทำให้ คอมเพรสเซอร์แอร์ ทำงานหนักมากๆ จนกระทั่งคอมเพรสเซอร์น๊อคพังได้ ไม่มีความเย็นในห้องโดยสารเลย
ให้สังเกตุ สารความเย็น เต็มมาก และ สารความเย็น น้อยมาก จะเกิดผลกระทบจากการให้ความเย็นคล้ายกันมาก ให้สังเกตุจาก กระจกมองน้ำยาที่ รีซีฟเวอร์ดรายเออร์ ครับ ว่า เป็นผลมาจาก สารความเย็น เต็มมากเกินไป หรือว่า สารความเย็นน้อยเกินไป ครับ

การทำงานของระบบแอร์คอนดิชั่นในรถยนต์ จะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง นั่นคือ ฝั่งแรงดันน้ำยาต่ำ และฝั่งแรงดันน้ำยาสูง

  • ฝั่งแรงดันน้ำยาต่ำคือ นับตั้งแต่ ทางออกของ เอ๊กซ์แพนชั่นวาล์ว ซึ่งแปลงน้ำยาแอร์ (สารความเย็น) เป็นไอระเหย ผ่านเข้า คอยล์เย็น (อีวาเพอเรเตอร์) โดยมีพัดลมโบล์วเออร์ เป่าความเย็นจุดนี้ ออกมาทางท่อลมเข้าห้องโดยสาร ส่วนน้ำยาที่เป็นไอระเหยนั้น จะดูดซับความร้อนในห้องโดยสาร แล้วถูกดูเข้า คอมเพรสเซอร์แอร์ นี่คือ ฝั่งแรงดันน้ำยาต่ำ
  • ฝั่งแรงดันน้ำยาสูงคือ น้ำยาสารความเย็นที่ถูกคอมเพรสเซอร์แอร์ ดูดอัดอย่างเร็ว (ยังเป็นสารระเหยอยู่) ส่งเข้า คอยล์ร้อน (คอนเดนเซอร์) ที่มีครีบระบายความร้อน ทั้งถูกอัดเข้าไประบายความร้อนเข้าที่พักดูดความชื้น (รีซีฟเวอร์ดรายเออร์) จนเป็นสารความเย็นเหลว ส่งไปเข้า เอ็กซ์แพนชั่นวาล์ว

อาการของรถคุณ เป็นอาการของ สารความเย็น น้อยมากเกินไป เนื่องจากการรั่ว ทางฝั่ง แรงดันน้ำยาต่ำ ซึ่งถ้ามีการตรวจเช็คการรั่วและทำการทำไม่ให้เกิดการ รั่วแล้ว เติมน้ำยาสารความเย็นเข้าไป (น้ำยาแอร์) ก็จะทำให้ ระบบแอร์ทำงานได้ดีเช่นเดิมครับ ก็จะเข้าสู่ระบบ น้ำยาเต็มพอดี ครับ

ทำไมผมจึงระบุว่า เกิดการรั่วของฝั่งแรงดันน้ำยาต่ำ เพราะว่า ถ้าเกิดการรั่วทางฝั่งแรงดันน้ำยาสูง น้ำยาจะถูกขับดันออกมาจนหมดเกลี้ยงในชั่วเวลาไม่นานเ ลยครับ และไม่สามารถ มองเห็นน้ำยาในกระจกได้เลย ส่วนการรั่วทางฝั่งแรงดันต่ำนั้น พอแรงดันถูกลดลงระดับหนึ่ง จะรั่วซึมออกมาน้อยมากแล้ว เพราะว่าแรงดันให้รั่วไม่พอครับ จึงทำให้น้ำยาสารความเย็นคงอยู่ระดับหนึ่งเป็นเวลานา น แต่ถ้าไม่มีการทำการอุดจุดรั่ว น้ำยาแอร์ก็จะค่อยๆหมดไป คอมเพรสเซอร์แอร์ก็จะ น็อคพังไปด้วยเพราะว่า น้ำมันหล่อลื่น ถูกสารความเย็นนำพารั่วออกมาด้วยครับ เมื่อน้ำมันหล่อลื่นน้อยจนเกือบหมด คอมเพรสเซอร์ก็จะน็อค ครับ ดังนั้น ขณะทีี่ สารความเย็นเหลือน้อย สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องปิดระบบทำความเย็นก่อน แล้วเช็คหาจุดรั่ว แก้ไขแล้ว เติมน้ำมันคอมพ์และน้ำยาสารความเย็น จนเต็มพอดี จึงนำมาใช้ต่อได้ครับ

bokyod 08-08-2009 22:13

โหลๆ
 
ขอบคุงมากๆๆ คับ คุณน้ามูลๆ

bokyod 10-08-2009 01:35

โหลๆ
 
มารายงานผลคับๆ
เมื่อวานนนี้ ผมได้ไปเติมน้ำยาแอร์มาคับๆ เติม แล้วก็เย็นดีๆ เสียไป 200
แต่ช่างบอกว่า แรงดันมันไม่ลงเลย (เขาบอกว่าปกติเอาน้ำราดตรงแผงคอยร้อนแล้วมันจะลง)
ผมก็เลยถามว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเป็นออะไรไหม เค้าบอกว่าคอมแอร์ใกล้เสียแล้วๆ
ขอถามว่า
1.ที่ช่างบอกเรื่องจริงไหมคับ
2.ตอนนี้เป็นน้ำยา R12 ถ้าผมจะเปลี่ยนเป็น R134 ได้ไหมคับๆ
3. ถ้าเปลี่ยนไปเป็นน้ำยา R134 แล้วต้องทำอะไรเพิ่มบ้าง
แล้วจะมีปัญหาไหมคับ
รถผมเป็น Volvo 760 JBO คับๆ

Moonlight 10-08-2009 14:03

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ bokyod (377743 กระทู้)
มารายงานผลคับๆ
เมื่อวานนนี้ ผมได้ไปเติมน้ำยาแอร์มาคับๆ เติม แล้วก็เย็นดีๆ เสียไป 200
แต่ช่างบอกว่า แรงดันมันไม่ลงเลย (เขาบอกว่าปกติเอาน้ำราดตรงแผงคอยร้อนแล้วมันจะลง)
ผมก็เลยถามว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเป็นออะไรไหม เค้าบอกว่าคอมแอร์ใกล้เสียแล้วๆ
ขอถามว่า
1.ที่ช่างบอกเรื่องจริงไหมคับ
2.ตอนนี้เป็นน้ำยา R12 ถ้าผมจะเปลี่ยนเป็น R134 ได้ไหมคับๆ
3. ถ้าเปลี่ยนไปเป็นน้ำยา R134 แล้วต้องทำอะไรเพิ่มบ้าง
แล้วจะมีปัญหาไหมคับ
รถผมเป็น Volvo 760 JBO คับๆ

โดยปกติของการใช้เกจ์วัดความดันของน้ำยานั้น จะต้องวัดทั้ง 2 ค่า คือ ทั้งค่าแรงดันต่ำและ ค่าแรงดันสูง ครับ โดยระบบปกติ ของน้ำยา เมื่อระบบทำความเย็นทำงานปกตินั้น จะได้ค่าดังนี้ครับ
  • ด้านแรงดันต่ำ 15 - 30 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
  • ด้านแรงดันสูง 210 - 230 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ถ้าการระบายความร้อนของคอยล์ร้อน (คอนเดนเซอร์) ไม่ดี เราจะต้องมองเห็นฟองอากาศที่ช่องมองน้ำยา ค่าแรงดันต่ำที่เกจ์จะอ่านได้ค่าสูงผิดปกติ แต่ค่าแรงดันสูงอาจจะสูงเกินปกติได้แต่ไม่มาก

แต่พอเราเอาน้ำฉีดพ่นไปที่ตัวคอยล์ร้อน ค่าทางด้านแรงดันต่ำควรจะลงมาสู่ระดับปกติ ครับ
แต่ถ้า ผลของเกจ์ ด้านแรงดันต่ำ สูงผิดปกติ และค่าแรงดันสูง ต่ำผิดปกติ
แล้วเราเอาละอองน้ำพ่นไปที่คอยล์ร้อน เกจ์วัดด้านแรงดันต่ำ ไม่ยอมลง ขณะเดียวกัน เกจ์วัดด้านแรงดันสูงไม่ยอมขึ้น นั่นแสดงถึงว่า คอมเพรสเซอร์แอร์ ไม่มีกำลังครับ (อาจจะเสื่อมชำรุดครับ)

สำหรับการเปลี่ยนน้ำยา เป็น 134 a นั้น เรียกได้ว่า แทบจะต้องเปลี่ยนหมดครับ เช่น
  • ปะเกน และโอริงทั้งหมด (รวมทั้งในคอมเพรสเซอร์ด้วยครับ) ต้องเปลี่ยนจาก ชนิด NBR เป็นชนิด RBR
  • น้ำมันคอมเพรสเซอร์ จาก ND-OIL6 เป็น ND-OIL8
  • สารดูดความชื้นใน รีซีฟเวอร์ดรายเออร์ จาก ซิลิก้าเจล เป็น ซีโอไลท์ (เปลี่ยนทั้งรีซีฟเวอร์ดรายเออร์ครับ)
  • ระบบท่อและหัวต่อ ต่างๆ ก็ควรเปลี่ยนเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการใช้สารความ เย็นครับ รวมทั้งหัวชาร์จก็ควรเปลี่ยนให้เป็น หัวชาร์จของสารความเย็น 134a ครับ
ที่บอกกล่าวไว้ทั้งหมดนั้น ดูเหมือนว่ายุ่งยาก แต่จริงๆแล้วสำหรับช่างแอร์แล้ว ไม่ยากหรอกครับ เสียเงินเปลี่ยนครั้งแรก แล้วต่อๆไป จะหาน้ำยาสารความเย็นได้ง่ายขึ้น เพราะว่า สาร R12 นับวันยิ่งหายากและแพงขึ้นเรื่อยๆครับ

tk_mpt 12-08-2009 23:37

ตอนนี้ผมเจอปัญหา เมื่อรถวิ่งความเร็วสูงจะเกิดเสียงดัง "ฟี๊ด" แถวตู้แอร์แล้วแอร์จะไม่เย็น พอจอดหรือวิ่งช้าๆลองปิด-เปิดสวิทซ์ใหม่ก็จะเริ่มกลับมาเย็น และถ้าวิ่งเร็วๆอีกจะเป็นอาการเดิม

อาการดังกล่าวเกิดขึ้นจากอะไรครับ:? :?

Moonlight 13-08-2009 08:39

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tk_mpt (379886 กระทู้)
ตอนนี้ผมเจอปัญหา เมื่อรถวิ่งความเร็วสูงจะเกิดเสียงดัง "ฟี๊ด" แถวตู้แอร์แล้วแอร์จะไม่เย็น พอจอดหรือวิ่งช้าๆลองปิด-เปิดสวิทซ์ใหม่ก็จะเริ่มกลับมาเย็น และถ้าวิ่งเร็วๆอีกจะเป็นอาการเดิม

อาการดังกล่าวเกิดขึ้นจากอะไรครับ:? :?

น่าจะเป็นระบบ รักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ของกล่อง ECU เองครับ เนื่องจากว่า ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูงมากๆนั้น รอบเครื่องจะหมุนเร็วมาก ซึ่งสายพานที่รอบเครื่องหมุนพาไปด้วยนั้น มันเป็นเส้นเดียวกับคอมพ์แอร์ ซึ่ง ในความเร็วขนาดนั้น มีโอกาสทำให้คอมพ์แอร์น๊อคได้ครับ และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ การที่จะใช้ความเร็วสูงๆนั้น เครื่องยนต์ต้องการกำลังมากๆครับ จึงต้องตัดกำลังส่วนที่ต้องแบ่งไปใช้ด้านอื่นๆออกครั บ

tk_mpt 14-08-2009 07:49

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Moonlight (379989 กระทู้)
น่าจะเป็นระบบ รักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ของกล่อง ECU เองครับ เนื่องจากว่า ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูงมากๆนั้น รอบเครื่องจะหมุนเร็วมาก ซึ่งสายพานที่รอบเครื่องหมุนพาไปด้วยนั้น มันเป็นเส้นเดียวกับคอมพ์แอร์ ซึ่ง ในความเร็วขนาดนั้น มีโอกาสทำให้คอมพ์แอร์น๊อคได้ครับ และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ การที่จะใช้ความเร็วสูงๆนั้น เครื่องยนต์ต้องการกำลังมากๆครับ จึงต้องตัดกำลังส่วนที่ต้องแบ่งไปใช้ด้านอื่นๆออกครั บ

วิ่งแค่ประมาณ 110-120 เองครับ แต่มีเสียงดังแถวตู้แอร์อย่างที่ว่าแหละครับ

Moonlight 14-08-2009 09:17

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tk_mpt (380683 กระทู้)
วิ่งแค่ประมาณ 110-120 เองครับ แต่มีเสียงดังแถวตู้แอร์อย่างที่ว่าแหละครับ

ถ้าวิ่งที่ประมาณ 110 - 120 กม./ช.ม. แล้วมีอาการตัดของระบบแอร์ (เสียงดังกล่าว น่าจะเกิดจาก คอมพ์แอร์ทำงานในรอบสูง (แรงดันน้ำยาสูง) แล้วเกิดการตัดคอมพ์แอร์ ทำให้แรงดันลดลงกระทันหัน จึงเกิดเสียง)

ให้ทดลองทำดังนี้ครับ เปิดแอร์ จอดอยู่ในเกียร์ N ใช้เท้าค่อยๆเหยียบคันเร่งให้รอบเครื่องสูงขึ้นเรื่อ ยๆ จนถึงระดับ 3000 - 3500 รอบ ให้สังเกตุว่า จะมีเสียงตัดน้ำยาแอร์ มั้ยครับ ถ้ามี ให้ตรวจเช็คดังนี้ครับ

  1. น้ำยาแอร์ในระบบ อาจจะมากเกินไป
  2. สวิทช์ความดัน ควบคุมการเปิดปิดคอมเพรชเซอร์
  3. แอมปลิฟายเออร์ แอร์
ซึ่งถ้าไม่ใช่ ข้อ 1 แล้ว สาเหตุของปัญหา จะมาจาก ข้อ 2 และ ข้อ 3 ร่วมกันทำให้เกิดครับ ซึ่งต้องให้ช่างแอร์ที่ชำนาญตรวจเช็คแก้ไขครับ

tk_mpt 15-08-2009 07:28

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Moonlight (380734 กระทู้)
ถ้าวิ่งที่ประมาณ 110 - 120 กม./ช.ม. แล้วมีอาการตัดของระบบแอร์ (เสียงดังกล่าว น่าจะเกิดจาก คอมพ์แอร์ทำงานในรอบสูง (แรงดันน้ำยาสูง) แล้วเกิดการตัดคอมพ์แอร์ ทำให้แรงดันลดลงกระทันหัน จึงเกิดเสียง)

ให้ทดลองทำดังนี้ครับ เปิดแอร์ จอดอยู่ในเกียร์ N ใช้เท้าค่อยๆเหยียบคันเร่งให้รอบเครื่องสูงขึ้นเรื่อ ยๆ จนถึงระดับ 3000 - 3500 รอบ ให้สังเกตุว่า จะมีเสียงตัดน้ำยาแอร์ มั้ยครับ ถ้ามี ให้ตรวจเช็คดังนี้ครับ

  1. น้ำยาแอร์ในระบบ อาจจะมากเกินไป
  2. สวิทช์ความดัน ควบคุมการเปิดปิดคอมเพรชเซอร์
  3. แอมปลิฟายเออร์ แอร์
ซึ่งถ้าไม่ใช่ ข้อ 1 แล้ว สาเหตุของปัญหา จะมาจาก ข้อ 2 และ ข้อ 3 ร่วมกันทำให้เกิดครับ ซึ่งต้องให้ช่างแอร์ที่ชำนาญตรวจเช็คแก้ไขครับ

เดี๋ยวลองทำดูครับ แต่น้ำยาไม่น่าจะเกินเพราะมีฟองวิ่งอยู่ครับ ว่าแต่ว่า "แอมปลิฟายเออร์ แอร์" มันอยู่ตรงไหนครับ

Moonlight 15-08-2009 11:13

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ tk_mpt (381342 กระทู้)
เดี๋ยวลองทำดูครับ แต่น้ำยาไม่น่าจะเกินเพราะมีฟองวิ่งอยู่ครับ ว่าแต่ว่า "แอมปลิฟายเออร์ แอร์" มันอยู่ตรงไหนครับ

อยู่ใต้คอนโซลหน้าครับผม

tk_mpt 17-08-2009 22:01

พอดีวันนี้ขับดูแล้วมันกลับไม่มีอาการอะไรอะครับ ผมงงเหมือนกันครับ
ต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ถ้ามีอาการอีกผมจะมาปรึกษาใหม่นะครับ

yokee_1 19-08-2009 19:06

อยากทราบเหมือนกันครับ ผมก็มีปัญหาครับช่างบอกว่ารถผม ไม่มีระบบตัดแอร์เวลาขับเร็วหรือวลาบูสครับ ผมจะต้องทำไงครับ เพราะกลัวคอมแอร์พังกับสายแอร์ที่เดินจากหน้ารถไปท้า ยรถที่ยางอะไหล่แตก รั่ว(แผงแอร์ผมมีตรงที่ยางอะไหล่ครับรถกระบะครับ) ช่างที่ทำบอกว่าเวลาจะอัดความเร็วให้ปิดแอร์ก่อน ผมว่ามันลำบากเกินไปครับ ถ้าผมจะให้ความเร็วแบบกระทันหัน ผมอยากทราบว่าสวิทช์ความดัน ควบคุมการเปิดปิดคอมเพรชเซอร์ อยู่ตรงไหนครับ

สวิตท์ตัวนี้ติดเครื่องยนต์มาหรือติดรถมาครับ ต้องซื้อใส่เองหรือป่าวครับ

ช่วยตอบหน่อยครับ ขอบคุณครับ

Moonlight 19-08-2009 19:49

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ yokee_1 (384235 กระทู้)
อยากทราบเหมือนกันครับ ผมก็มีปัญหาครับช่างบอกว่ารถผม ไม่มีระบบตัดแอร์เวลาขับเร็วหรือวลาบูสครับ ผมจะต้องทำไงครับ เพราะกลัวคอมแอร์พังกับสายแอร์ที่เดินจากหน้ารถไปท้า ยรถที่ยางอะไหล่แตก รั่ว(แผงแอร์ผมมีตรงที่ยางอะไหล่ครับรถกระบะครับ) ช่างที่ทำบอกว่าเวลาจะอัดความเร็วให้ปิดแอร์ก่อน ผมว่ามันลำบากเกินไปครับ ถ้าผมจะให้ความเร็วแบบกระทันหัน ผมอยากทราบว่าสวิทช์ความดัน ควบคุมการเปิดปิดคอมเพรชเซอร์ อยู่ตรงไหนครับ

สวิตท์ตัวนี้ติดเครื่องยนต์มาหรือติดรถมาครับ ต้องซื้อใส่เองหรือป่าวครับ

ช่วยตอบหน่อยครับ ขอบคุณครับ

ให้ติดตั้งสวิทช์ควบคุมแรงดัน (Pressure Switch)มีทั้งหมด 3 แบบ จะติดตั้งอยู่ทางฝั่งด้านความดันสูง ตำแหน่งติดตั้งบางครั้งพบว่าติดตั้งอยู่ที่ท่อพักสาร ความเย็นเหลวข้างกระจกมองสารความเย็น (แอร์ดรายเออร์) ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้คอมเพรสเซอร์ชำรุดเสียหายในกร ณีที่สารความเย็นมีน้อยเกินไป หรือมากเกินไป

แบบแรก ถ้าความดันของสารความเย็นในระบบด้านความดันสูงลดต่ำล ง และต่ำกว่า 30 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เนื่องจากมีการรั่วในระบบ แรงดันสปริงของสวิทช์ควบคุมแรงดันจะดันไดอะแฟรมให้หน ้าคอนแทคท์แยกตัวออก ตัดไฟที่เข้าเลี้ยงแมกเนติคคลัชท์ หยุดการทำงานของคอมเพรชเซอร์ครับ

แบบที่สอง สวิทช์ควบคุมแรงดันที่ออกแบบมาสำหรับควบคุมการตัดวงจ รเมื่อ ความดันสูงเกินกว่าปกติ (สูงกว่า 210 - 230 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) (ตรงกันข้ามกับแบบแรก)

แบบที่สาม คือสวิทช์ควบคุมแรงดันแบบรวม คือควบคุมทั้งแรงดันสูงและแรงดันต่ำ

เวลาซื้อสวิทช์ควบคุมแรงดัน หรือ ซื้อแอร์ดรายเออร์ที่ติดตั้งรวมสวิทช์ควบคุมแรงดัน ให้เลือกซื้อแบบที่ 3 ครับผม ซึ่งจะควบคุม เมื่อ คอมเพรชเซอร์ทำงานหนักมากๆ เมื่อรอบเครื่องยนต์สูงๆ จะทำให้แรงดันสารความเย็นสูงเกินปกติ สวิทช์ตัวนี้ก็จะทำงานครับผม

วัช69 20-08-2009 08:13

กลิ่นอะไร....เนี้ยยยยย...
 
เปิดพัดลมขณะรถกำลังวิ่ง มีกลิ่นเหมือนกลิ่นเชื่อมบัคกรีและแสบตาในห้องโดยสาร แต่พอเปิดเทอร์โมฯกลิ่นก็ค่อยๆจางไป(มีกลิ่น) แต่ยังแสบตาอยู่ แต่ไม่มากเหมือนตอนเปิดพัดลม

ก่อนหน้านี้ ที่จะมีกลิ่น มีเสียง...จื๊ดดด...ดด..ยาวๆตามการกดคันเร่ง(ผมม่ะได ้เลี้ยง.นู๋.แน่นอน)

ผมลองปิดพัดลม กลิ่นม่ะมี และเสียง...จิ๊ดดด...ดด..ตามรอบคันเร่งก็ไม่มี

Moonlight 20-08-2009 09:20

อ้างถึง:

กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ วัช (384469 กระทู้)
เปิดพัดลมขณะรถกำลังวิ่ง มีกลิ่นเหมือนกลิ่นเชื่อมบัคกรีและแสบตาในห้องโดยสาร แต่พอเปิดเทอร์โมฯกลิ่นก็ค่อยๆจางไป(มีกลิ่น) แต่ยังแสบตาอยู่ แต่ไม่มากเหมือนตอนเปิดพัดลม

ก่อนหน้านี้ ที่จะมีกลิ่น มีเสียง...จื๊ดดด...ดด..ยาวๆตามการกดคันเร่ง(ผมม่ะได ้เลี้ยง.นู๋.แน่นอน)

ผมลองปิดพัดลม กลิ่นม่ะมี และเสียง...จิ๊ดดด...ดด..ตามรอบคันเร่งก็ไม่มี

สงสัยจะมีการรั่วในระบบสารความเย็นครับ คงต้องเช็ครั่ว แล้วแก้ไข ให้เรียบร้อย ค่อยเติมน้ำยาเข้าในระบบครับ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:10

Powered by vBulletin รุ่น 3.6.8 Copyright ©2000-2024, Jelsoft Enterprises Ltd.
ClubJZ. NET Bestview 1024 * 768 and 1208 * 1024 pixels