Boost จะมาตามจังหวะเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อ+Load เครื่อง แล้วอะไรส่งข้อมูลว่ามี load
 

Boost จะมาตามวังหวะเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อ+Load เครื่อง แล้วอะไรส่งข้อมูลว่ามี load ครับ

ปลง สงสัยเฉย ๆ ครับ เพราะถ้ารถไม่วิ่งกระแทกคันเร่งยังไง boost ก็ขึ้นนิดเดียวเพราะไม่มี load

เครื่องมันไม่ต้องออกแรงไปฉุดลากอะไรก็คือไม่มีโหลดไ งครับ ไม่ต้องมีเซ็นเซอร์อะไรรับรู้ทั้งนั้นครับ
ตัวอย่างคล้ายๆกับคุณเดินอยู่ หรือให้คุณเดินลากของหยักๆไว้ไงครับ

เร่งเครื่องขึ้นไปก้าไม่มีโหลดคือไม่ได้เข้าเกี ยร์ ให้รถวิ่ง เกียร์แค่เกียร์ 1-2 มันก็ไม่ค้อยโหลดเพราะไม่ได้ทดไว้เยอะ
แต่ถ้าวิ่งเร็วๆแล้ว มันก็โหลด โดลดเกินจากการทำให้รถหมุนเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ต้องใช้กำลัง กำลังที่ส่งผ่านจากล้อมาเฟืองท้าย มาเกียร์ มาคลัช มาที่ข้อเหวี่ยง มาที่ลูกสูบขึ้นลงไงครับ ถ้าปลดเกียร์ออก ลูกสูบก็ขึ้นลงง่าย ไม่มีโหลด โบก็ไม่บูสไงครับเพราะไม่มีอะไรมาอั้น
ไม่รู้จะอ่านเข้าใจรึเปล่านะครับ

ไม่มีอะไรส่งข้อมูลว่ามีโหลดหรอกคับ

เพราะว่าถ้าเราเบิ้ลเครื่องอยู่กับที่ กล่องก้อจะรับ ส่ง ข้อมูล เหมือนกับตอนที่เราขับนั่นแหละ

แต่เมื่อเราไม่มีโหลด แบทีั่ถามมา บูสขึ้นเพียงนิดเดียว หรือยังไม่ทันขึ้น รอบมันก้อตวัดสุดแล้ว เพราะัไม่มีโหลดมายั้งไว้

งงไหม คับ

ที่จิงเทอร์โบมันก็ทำงานของมันแหละครับแต่เครื่องมัน ไม่มีอะไรมาฉุดมันไว้มันก็เลยดูดแล้วคายอย่างเร็วเลย (อิอิ)(ลม หมดเยย น้องโบเหนื่อย)มันก็เลยดูว่าไม่มีการบูสแต่ที่จริงมั นบูสอยู่แต่เครื่องใช้หมด(ถ้าไม่เชื่อลองเหยียบคันเร ่งสุดเข้าเกียร์แล้ว ดีดคลัช ออกเลยครับ รับรอง บูสสสสส ออนนนนนๆ(เอามาจากการ์ตูน) บูสขึ้นอย่างเร็วเลยอืม อิอิ) (ภาษาผมอ่านแล้วเข้าใจหรืองงกว่าเดิมครับ บอกหน่อย)

ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีครับ คุณ greenc อธิบายพอเห็นภาพครับ แต่ ยังไม่กระจ่าง พอจะมีใครเปิดกะลาให้ผมอีกหน่อยปะครับ

...Load ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ ภาระงาน...ในที่นี้ก็คือภาระงานที่เครื่องจะต้องทำ.. . ถ้าคิดจริงๆ แล้ว โดยตรง Boost มันมาตามรอบเครื่องซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของตัว เทอร์โบ ... ถ้ารอบต่ำ Boost ก็จะน้อยหรือไม่มี ถ้ารอบสูงก็มี Boost เพิ่มขึ้น แต่เกินไปมากก็ไม่ดีเดี๋ยวเครื่องจะพัง ก็เลยมีเวสเกตเพื่อช่วยควบคุมระดับ boost สูงสุดอีกทีหนึ่ง ...
... คราวนี้ลองมาคิดตาม ถ้าเหยียบคันเร่งลิ้นเปิดมาก อากาศเข้ามาก กล่องก็จะสั่งให้ฉีดน้ำมันก็มาก เครื่องก็จะมีกำลังเพิ่มขณะที่รอบเครื่องเพิ่มสูงขึ้ น Boost ก็จะมาตามรอบ กำลังที่ได้ก็จะถูกควบคุมจัดการดัวยเกียร์เพื่อให้ใช ้กำลังเครื่องในการขับเคลื่อนอย่างเหมาะสม.....
... คราวนี้มาพูดถึง Load หลักๆ ก็คือภาระงานที่เครื่องจะต้องพารถเครื่องที่ไปข้าหน้ าต่อสู้กับแรงเสียดทานและแรงเฉื่อย.... การวัด Load ก็จะคำนวณได้โดยใช้สัญญาณการเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อแล ะสัญญาณรอบเครื่อง โดย ECU จะเป็นตัวคำนวณ และก็จะไปควบคุมเกียร์เพื่อจัดการกับโหลดที่มีอย่างเ หมาะสม....
... การดู Load คร่าวๆ ก็คือ อัตราความเร็วที่รอบเครื่องเพิ่มขี้นตามอัตราการกดคั นเร่ง ดังนี้
1. ถ้ากดน้อยกว่า load ก็น้อยกว่า กดมากกว่า load ก็มากกว่า .... กดน้อย ก็คือเราต้องการให้รถไปเรื่อยๆ ภาระงานในการนำรถไปเรื่อยๆ ก็จะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ การกดมาก ชึ่งหมายถึงเราต้องการให้รถเร่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็น ภาระงานที่มากกว่า....
2. ความสัมพันธ์ของการกดคันเร่งกับรอบเครื่อง ก้ากดแล้วรอบเครื่องขึ้นเร็ว Load จะน้อยกว่า กรณีกดแล้วรอบเครื่องขึ้นช้า.... ถ้ากดมากๆ แล้วรอบเครื่องขึ้นช้ามาก ก็หมายถึง Load ที่มากตามมาด้วย และถ้ามากเกินไป เกินกำลังเครื่อง เกียร์ก็จะเข้ามาจัดการโดยการ kick down หรือเปลี่ยนเกียร์ลงเพื่อให้อัดตราทดเกียร์เพิ่มขึ้น ให้รอบขึ้นเร็วขึ้นซึ่งหมายถึง load ที่ลดลง ในแง่มุมของงานที่เครื่องต้องออกแรงสู้....

.... นอกจากนี้แล้ว การเปิดแอร์ คอมแอร์ทำงาน หรือการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ไฟหน้า ทำให้ไดชาร์ททำงานมากขึ้น หรือการ เลี้ยวพวงมาลัยที่ทำให้ พาวเวอร์ปั๊มทำงานมากขึ้น พวกนี้ล้วน เป็น Load ที่เพื่มมากขึ้นทั้งนี้ เพราะถ้าต่อสัญญาณเข้ากล่อง จะเห็นได้ว่า ECU จะสั่งให้ชดเชยรอบ (เพิ่มรอบ)ให้กับ load พวกนี้ด้วย.....
... หวังว่าคงช่วยได้เยอะนะครับ....

ภายในกล่องมันจะมีตารางค่าของการจ่ายน้ำมันอยู่ครับ โดยที่จะมีความสัมพันกันระหว่าง แรงดันภายในท่อไอดี ความเร็วรอบ และตำแหน่งลิ้นเร่งครับ มันจะนำค่าที่ได้มาเปรียบเทียบกันครับ
แต่ Boost มันไม่เกี่ยวไรเลยครับมันอยู่ที่ปริมาณไอเสียที่เข้า สู่เทอร์โบ

Load ก็คือปริมาณอากาศที่เข้าเครื่องอ่ะครับ
ง่าย ๆ ถ้าเครื่องให้การวัดอากาศด้วย MAP ก็คือค่า Volt
ที่ออกจาก MAP

ถ้าเป็นรถ Airflow ก็คือ ค่าจาก Airflow ครับ

ค่าจะ Air flow จะตรงไปตรงมากดีกว่าจาก MAP เพราะวัดอากาศตรง ๆ ไม่ได้วัดทางอ้อมแบบวัดแรงดัน เหมือน MAP


ดังนั้นรถที่ใช้ Airflow จะวัด Load ได้แม่นกว่า MAP ครับ

รถที่ใช้ MAP จำต้องมีการวัดเพิ่มจาก sensor อื่น ๆ อีกด้วย เช่น องศาคันเร่ง ความเร็วรถ (เพื่อหาอัตราเร่ง ไปหา Load อีกที)

แต่บางกรณี MAP ดีกว่าครับ เช่นเครื่อง Turbo เพราะ เมื่อ Boost มาอากาศมันไหลแปรปวนมาก วัดจาก Airflow อาจจะไม่ค่อยดี หรืออาจจะเต็ม Scale ซะก่อน

มี MAP วัดแทนจะดีกว่าครับ



สังเกต 1JZ-GTE VVT-i มี Airflow อย่างเดียว และก็ออกมารุ่นเดียว
เพราะเอา Airflow ไปให้กับรถ Turbo มันไม่ค่อย work เหมือนกระกูล RB SR ของ นิสสัน

ส่วน 2JZ-GTE VVT-i มีทั้ง MAP และ Airflow ตอนเป็น VAC ก็ใช้ Airflow ตอนเป็น Boost ก็อ่านจาก MAP เอา ชัวร์ที่สุด 1KD-FTV ก็เช่นเดียวกัน